การผสมผสานกันของเส้นโค้งที่ได้สัดส่วนและสวยงาม
ศัลยกรรมหน้าผาก
เสริมสร้างความมั่นใจด้วยสไตล์ที่แตกต่าง
- #หน้าผากมีวอลลุ่ม
- #ใบหน้าเรียวเล็ก
หน้าผากที่ราบและยุบลงไปแก้ไขด้วยการ เพิ่มวอลลุ่มให้หน้าผาก
หน้าผากถือเป็นส่วนหนึ่งที่ครองพื้นที่บนใบหน้าไปถึง 1/3 ถือว่าเป็น บริเวณสำคัญที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของแต่ละคน ได้เลยทีเดียว เมื่อมองหน้าตรง หน้าผากที่สวยคือ หน้าที่มีวอลลุ่ม นูนสวยรับกับตา ปาก และปลายคาง หากว่าหน้าผากราบเรียบ ไม่มีส่วนโค้งเว้า ยุบตัวลงไป หรือกระดูกบริเวณคิ้วสูงมากเกินไป จะให้รูปหน้าดูเหมือนผู้ชาย และภาพลักษณ์ดูแช็งไม่เหมือนผู้หญิง ซึ่งปัญหานี้อาจทำให้แต่งหน้าหรือทำผมให้เข้าได้ยาก
ดังนั้นการเพิ่มวอลลุ่มหน้าผากจึงต้อง คำนึงถึงรูปหน้าของแต่ละคนเป็นหลัก
เคสที่ควรเสริมซิลิโคนหน้าผาก
-
หน้าผากเรียบ ไม่มีมิติเมื่อมองมุมด้านข้าง หรือบริเวณหน้าผากบางส่วนยุบตัวลงไป
-
กระดูกคิ้วสูงเกินไปทำให้หน้าคล้ายผู้ชาย
การทำหัตถการก็สามารถทำให้หน้าผากมีวอลลุ่มสวยได้เช่นกัน
กรณีที่หน้าผากไม่จำเป็นที่จะต้องเสริมซิลิโคน หรือเสริมไปแล้วแต่ยังต้องการให้มีวอลลุ่มมากกว่าเดิม สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำหัตถการ อย่างเช่น การฉีดไขมัน หรือฟิลเลอร์เข้าไป การทำหัตถการเหล่านี้เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเพิ่มวอลลุ่มให้หน้าผากได้อย่างสวยงาม รวมทั้งลดความกังวลใจต่างๆได้อีกด้วย
-
การฉีดสเต็มเซลล์ไขมันของตัวเอง
ดูดไขมันบริเวณต้นขา หน้าท้อง ฯลฯ แล้วนำไปเข้าเครื่องสกัดเพื่อให้ได้สเต็มเซลล์ไขมันออกมา หลังจากนั้นฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่ม
ไปยังหน้าเว็บ ฉีดไขมันของบาโนบากิ -
อาร์ติคอล / ฟิลเลอร์ทั่วไป
ทาครีมยาชา เพื่อลดอาการปวด แล้วใช้เข็มขนาดเล็กฉีดไปยังบริเวณที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น การฉีดอาร์ติคอล ฟิลเลอร์กึ่งถาวร เป็นต้น
ไปยังหน้าเว็บ อาร์ติคอลฟิลเลอร์กึ่งถาวร
ฟิลเลอร์ที่เลือกโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมปรับรูปหน้า
-
ดูแลรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการศัลยกรรมปรับโครงหน้า
ความพึงพอใจในการเลือกใช้ซิลิโคน
ให้เหมาะสมกับแต่ละคน
การทำหัตถการด้วยการฉีดสารเหลวเพียงอย่างเดียวนั้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ได้ตรงจุดหรือเห็นผลมากเท่าไหร่นัก จึงเกิดการประดิษฐ์ซิลิโคนหน้าผากขึ้น ในตอนนี้หลังจากวิเคราะห์ลักษณะหน้าผากอย่างละเอียด และทำการประดิษฐ์ซิลิโคนของแต่ละคนแล้วนั้นก็จะทำ การใส่ซิลิโคนเข้าไปใต้เนื้อเยื่อหน้าผาก วิธีนี้ข้อดีคือมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดและได้รับความพึงพอใจพอใจสูงรวมทั้งยังเป็นการศัลยกรรมที่ไม่ซับซ้อนและสามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ ในภายหลังหากทำหัตถการ เช่น ฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ส่วนบริเวณที่ดูยุบลงไป ก็จะยิ่งทำให้เห็นถึงผลลัพธ์ช่วงไลน์ของหน้าผากที่ดีมากขึ้นไปอีก
ขั้นตอนการใส่ซิลิโคนหน้าผาก
-
STEP. 01
ก่อนผ่าตัดจะเช็คลักษณะหน้าผากตามแต่ละลักษณะหน้าผากของแต่ละบุคคล
-
STEP. 02
ประดิษฐ์ซิลิโคนให้เหมาะสมตามลักษณะรูปร่างและใช้ซิลิโคนที่เหมาะสมกับรูปร่างลักษณะของหน้าผากนั้นๆ
-
STEP. 03
ใส่ซิลิโคนที่ใต้เนื้อเยื่อ โดยจะกรีดบริเวณด้านหลังประมาณ 4-5 ซม. ตั้งแต่ช่วงไรผม
-
STEP. 04
ซิลิโคนที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจะถูกทำให้ติดแน่นและปรับให้มีโวลลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อดีที่เป็นธรรมชาติและความปลอดภัยของตัวซิลิโคน
เนื่องจากหน้าผากคนเรานั้นมีความแข็ง จึงไม่ใช้กระดูกเทียมในการเสริม ในทางกลับกัน หากเลือกใช้กระดูกเทียมที่แข็ง มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะได้รับการกระทบกระเทือน ความเสียหาย หรือเป็นรอยแตกร้าวได้ ซึ่งรูปร่างที่เสียหายนั้น จะทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงถือเป็นข้อเสียของการใช้กระดูกเทียม
บาโนบากิทำการวิจัยอย่างละเอียดด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานในการศัลยกรรมเสริมซิลิโคนหน้าผาก
เราทำการเสริมซิลิโคนที่ประดิษฐ์โดยคำนึงถึงลักษณะหน้าผากของแต่ละคน ด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง ยึดเกาะดีจึงทำให้เมื่อเสริมเข้าไปแล้วจะดูเป็นธรรมชาติรวมทั้งไม่เกิดการชำรุดเสียหายอีกด้วย อีกทั้งมีข้อดีที่ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับแผลเป็น ถือเป็นการศัลยกรรมที่เหมือนการทำแค่หัตถการเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อมูลการผ่าตัด
-
ระยะเวลาการผ่าตัด
ประมาณ 30 นาที ~ 1 ชั่วโมง
-
วิธีวางยา
ยาสลบ/ยาชาเฉพาะที่
-
ตัดไหม
เอาออกประมาณ 7 ~ 10 วันหลังผ่าตัด
-
นอนโรงพยาบาล
กลับบ้านได้เลย
-
เช็คอัพ
ประมาณ 1 ครั้ง
-
พักฟื้น
ประมาณ 3~5 วันหลังทำ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ระดับอาการปวดหลังผ่าตัด
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
หลังจากฉีดสารเหลวหรือหลังใส่ซิลิโคนเข้าไปแล้วที่บริเวณผิวหน้าผากอาจมีการยุบลงได้ พอฤทธิ์ของยาชาคลายลงอาจปวดแปลบขึ้นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ตอนตัดไหมหรือตอนทายาฆ่าเชื้อนั้น อาจเกิดอาการแสบเล็กน้อย หรือรู้สึกตึงๆ ได้ สามารถบรรเทาได้ด้วยการทานยาแก้ปวดที่แพทย์ออกใบสั่งยาให้
* เป็นค่าเฉลี่ยจากคนไข้ที่ได้รับการรักษาจริงที่ทำแบบสอบถามหลังการผ่าตัด
* อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคลควรใช้วิจารณญาณก่อน
กว่าครึ่งของพื้นที่ใบหน้า คือ
ความกว้างของหน้าผาก
โดยปกติแล้ว สัดส่วนใบหน้าของคนเรา หว่างคิ้ว, จมูก, คาง จะแบ่งเป็นร้อยละที่เหมาะสมได้ดังนี้คือ 1:1:0.8-0.9 ถ้าหน้าผากเรากว้าง ส่วนต่างๆของหน้าผากก็จะลดลง หูตาปากจมูกก็จะดูไม่สมดุลกันอีกด้วย อาจทำให้หน้าดูยาว ศีรษะดูใหญ่ หรือดูเป็นคนผมบาง เป็นต้น
กรณีที่หน้าผากแคบ สามารถแก้ไขด้วยวิธีง่ายๆ และค่าใช้จ่ายไม่สูง กรณีที่หน้าผากกว้างการผ่าตัดลดขนาดหน้าผากถือได้ว่ามีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด
※ ภาพประกอบเพื่อความเข้าใจ
-
ความไม่สมดุลของใบหน้า
-
ใบหน้าที่ดูยาว
-
ใบหน้าที่ดูใหญ่
-
ใบหน้าที่ดูแก่กว่าวัยรวมถึงศีรษะล้าน
การลดขนาดหน้าผากนั้นถือเป็นวิธีที่แก้ไขที่ถูกจุดที่สามารถปรับช่วงขนาด เส้นไลน์หน้าผากได้
เปรียบเทียบหลักการง่ายๆ ของการลดขนาดหน้าผาก โดยปกติแล้วจะกรีดที่ไรผมลึกลงไปถึงใต้หนังศีรษะและทำการเย็บปิดแผลให้ติดกัน วิธีนี้ถือว่ามีข้อดีที่เห็นชัดเจนสำหรับคนที่มีหน้าผากกว้าง แถมยังเป็นวิธีการผ่าตัดนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่เด่นชัดสำหรับคนที่มีหน้าผากกว้าง แถมยังเป็นวิธีการผ่าตัดนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่เด่นชัด
ขั้นตอนการผ่าตัด
-
step.01กรีดแบบฟันปลา
ตามแนวแฮร์ไลน์ -
step.02ยึดติดตัวเอนโดไทน์ไล่ลง
ไปข้างใต้ตามแนวหนังศีรษะ -
step.03จัดการเย็บปิดแผล
บริเวณผิวให้เรียบร้อย
ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจนั้นขึ้นอยู่กับ รายละเอียดขั้นตอนการผ่าตัด
ถึงจะเป็นการศัลยกรรมที่ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ความแตกต่างของผลลัพธ์นั้นก็ต้องอาศัยความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญด้วย การศัลยกรรมลดขนาดหน้าผากจะกรีดช่วงไรผมเป็นแนวลงข้างล่างยาวลงมาเรื่อยๆ ด้วยความชำนาญ ซึ่งผลลัพธ์นั้นจะออกมาเป็นธรรมชาติกว่า ขั้นตอนการศัลยกรรมการลดขนาดหน้าผากของบาโนบากินั้นแต่ละขั้นตอนนั้นประกอบไปด้วยเทคนิคความรู้ ความ สามารถพิเศษที่ให้ผลลัพธ์ที่คำนึงถึงความเป็นธรรมชาติมากที่สุด
อันดับแรกจะกรีดเป็นเส้นทแยง 45องศาบริเวณไรผม ต่อจากนั้นก็จะกรีดเป็นแนวฟันปลา ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยไม่ให้เห็นรอยแผลแล้วก็ยังดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย แล้วทำการยึดติดด้วยการใช้วัสดุ*เอนโดไทน์ในการยึด หนังศีรษะเพื่อป้องกันการหย่อนคล้อย ขั้นตอนสุดท้ายนั้น บริเวณที่ถูกกรีดจะทำการเย็บปิดแผลทีละชั้น ทีละขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น
-
กรีด45องศาที่บริเวณไรผม
การกรีดที่หนังศีรษะจะไม่ได้กรีดเป็นแนวตั้งฉาก แต่จะกรีดเป็นแนว 45 องศาเอียงไปข้างหน้า ซึ่งการกรีดด้วยวิธีนี้จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ
-
กรีดเป็นลักษณะฟันปลาตลอดแนว
ไม่ใช่การกรีดเป็นเส้นตรง แต่จะเป็นการกรีดเป็นลักษณะฟันปลาแทน ซึ่งการกรีดด้วยวิธีนี้จะทำให้แผลที่ถูกเย็บออกมานั้นสวยกว่าการที่จะกรีดเป็นเส้นตรงบริเวณช่วงไรผม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นไปอีกด้วย
-
การยึดติดด้วยเอนโดไทน์*
ใช้เอนโดไทน์ในการยึดติดลงไปใต้หนังศีรษะ จะช่วยทำให้ยึดติดเกาะได้แน่นขึ้น หลังจากศัลยกรรมแล้วนั้นอาจเกิดความหย่อนคล้อยลงบ้าง แต่ตัวเอนโดไทน์นี้แม้เวลาผ่านไปก็จะทำหน้าที่ช่วยในการยึดเกาะให้ยังคงติดแน่นอยู่ รวมถึงแผลที่ออกมานั้นก็จะมีความเป็นธรรมชาติอีกด้วย
-
เย็บปิดแผล Layer By Layer
ผิวหนังประกอบด้วยผิวหนังชั้นนอก ผิวหนังชั้นใน ไขมัน เนื้อเยื้อ กล้ามเนื้อ เป็นต้น ซึ่งแต่ละชั้นมีส่วนประกอบความแตกต่างหลากหลายออกไป โดยแต่ละชั้นจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะของมัน หากไม่ทำการกรีดผ่าตัดแต่ละชั้นอย่างพิถีพิถันอาจส่งผลต่อระยะเวลาการพักฟื้นที่อาจจะยาวนานขึ้นได้ บาโนบากิได้ทำความเข้าใจและศึกษาเกี่ยวกับชั้นผิว Layer By Layer อย่างละเอียดในการเย็บปิดแผล เพื่อทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็ว และแผลเล็กลง
-
* เอนโดไทน์
เอนโดไทน์ ได้รับรองมาตรฐานจาก FDA ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าเป็นวัสดุที่มีความปลอดภัยและสามารถเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ จุดเด่นของเอนโดไทน์คือนำมาใช้ในการทำหัตถการเพื่อลดริ้วรอยต่างๆ และแก้ไขผิวที่หย่อนคล้อย ช่วยยึดให้ชั้นผิวดูเรียบ แก้ไขริ้วรอย รวมทั้งให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และมีความเป็นธรรมชาติ แผลเล็ก
ข้อมูลการผ่าตัด
-
ระยะเวลาการผ่าตัด
ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
-
วิธีวางยา
ยานอนหลับ
-
ตัดไหม
เอาออกประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด
-
นอนโรงพยาบาล
กลับบ้านได้เลย
-
เช็คอัพ
ประมาณ 1 ครั้ง
-
พักฟื้น
ประมาณ 3~5 วันหลังทำ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ระดับอาการปวดหลังผ่าตัด
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
-
circle
การดูแลอย่างถูกวิธีจะทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เมื่อยาสลบหมดฤทธิ์อาจจะเกิดอาการเจ็บแปลบ แต่จะค่อยๆดีขึ้นในภายหลัง เวลาตัดไหม
* เป็นค่าเฉลี่ยจากการทำแบบสอบถามหลังผ่าตัดของคนไข้ที่ได้เข้ารับการรักษาจริง
* ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล